Monthly Archives: พฤศจิกายน 2011
พิพิธภัณฑ์สิรินธร
ก่อนหน้านี้เราอาจไม่เคยรู้ว่า ดินแดนแถบอีสานแทบทั้งหมด เคยเป็นแหล่งที่อยู่ของไดโนเสาร์มาก่อน จนกระทั่งเมื่อปี 2519 นักธรณีวิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ออกไปสำรวจแหล่งแร่ยูเรเนียมที่ อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น แล้วก็ได้ไปพบกับฟอลซิลไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกของเมืองไทย
ในภาพจะแสดงถึงแนวการขุดเจาะหลุมเพื่อสำรวจแร่ในอดีต
ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือ ฟอลซิลไดโนเสาร์ที่พบยังเป็นชนิดที่ไม่เคยพบที่ไหนในโลกมาก่อนอีกด้วย จนได้รับการตั้งชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ตามสถานที่ค้นพบ และเป็นการถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพฯ
ฟอสซิลที่พบมีอายุประมาณ 130 ล้านปี เป็นไดโนเสาร์ชนิดกินพืชเป็นอาหาร หรือที่เรียกว่า “ซอโรพอด”
เจ้าซอโรพอดที่ว่าก็หน้าตาออกแนวช้างผสมยีราฟประมาณนี้
หลังจากนั้นก็มีการขุดพบฟอลซิลไดโนเสาร์ได้อีกหลายแห่งในเขตภาคอีสาน ส่วนที่ภูเวียงเองก็มีอีกหลายหลุมขุด แต่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมกันได้มีอยู่ 4 หลุม อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเวียง ที่จะพามาเที่ยวชมกัน
มาถึงที่อุทยานแห่งชาติกันแล้ว ก็แวะเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานกันก่อน
อัตราค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท ส่วนเด็กคนละ 20 บาท
ถ้าเป็นชาวต่างชาติ ค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
เลยเข้ามาก็จะเจอกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
แวะเข้ามาขอข้อมูลหลุมขุดค้นไดโนเสาร์ที่จะเข้าไปดูก่อนได้ที่นี่ มีเจ้าหน้าที่อัธยาศัยดีคอยต้อนรับและให้ข้อมูลกันอยู่
แต่ละหลุมขุดค้นจะต้องจอดรถแล้วเดินเท้าต่อเข้าไป
ขับรถเลยต่อขึ้นไปอีกราว 600 ม. จะถึงหน้าที่ทำการอุทยานฯ มีลานจอดรถอยู่ทางขวามือ
ตรงนี้เป็นจุดเริ่มเดินเท้าไปที่หลุมขุดค้นที่ใกล้ที่สุดคือ หลุมขุดค้นที่ 3
จากลานจอดรถ ข้ามมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านค้าเล็ก ๆ อยู่
จุดเริ่มต้นเส้นทางจะอยู่ข้าง ๆ กับร้านค้า
เดินไปอีกไม่ไกล ราว 300 ม.
ถึงแล้วอาคารหลุมขุดค้นที่ 3
ซากฟอสซิลที่นี่ ยังไม่ทราบชนิดที่แน่ชัด
แต่ลักษณะของกระดูกคอที่พบ ทำให้ทราบว่าเป็นไดโนเสาร์กินพืช หรือ ซอโรพอด
ภาพบรรยากาศหลุมขุดสมัยแรก ๆ ก่อนที่จะมาสร้างเป็นอาคารถาวรอย่างเห็น
ข้าง ๆ กับหลุมขุดตรงนี้ จะมีทางเดินเท้าไปหลุดขุดแห่งอื่น ๆ ได้ด้วย เหมาะกับคนที่ชอบเดินเท้าเที่ยวป่าไปด้วย แต่ทางอุทยานแนะนำว่าควรเดินตั้งต้นจากหลุมขุดที่ 9 แล้วค่อยวนกลับลงมาที่หลุมที่ 3 ตรงนี้อีกที
เดินย้อนกลับมานั่งพักกันที่ร้านค้าก่อน
มีเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้เลือก ใครจะตุนซื้อติดรถไว้หน่อยก็ได้ เพราะหลุมขุดแห่งต่อไปจะไม่มีร้านค้าอย่างนี้แล้ว
ขับรถย้อนออกมาที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จะมีป้ายชี้ทางไปหลุมขุดที่ 1,2 แล้วก็ 9
ทางไปจะเป็นเส้นเดียวกับที่ไปลานกางเต็นท์ เป็นถนนลูกรังเรียบรถเก๋งวิ่งได้สบาย
วิ่งรถมาจะเจอทางแยกไปหลุมขุดค้นที่ 2 กับหลุมขุดค้นที่ 1
หลุมขุดอันหลังนี่เป็นหลุมไฮไลต์ควรเก็บไว้ดูปิดท้ายรายการไม่งั้นเดี๋ยวแห่งอื่นจะจืดไป เพราะงั้นแนะนำว่าให้เลยไปที่หลุมขุดค้นที่ 9 ถัดเข้าไปก่อน
ส่วนใครที่จะเลือกเดินเท้าไปชมทั้ง 4 หลุมขุดที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม ให้เลยเข้าไปเริ่มเดินจากหลุมขุดที่ 9 อีกเหมือนกัน
จอดรถกันแล้วก็เดินตามป้ายนี้เข้าไปเลย
ทางจะต้องเดินขึ้นเนินไป เส้นทางชัดเจนไม่ต้องกลัวหลง
ใกล้จะถึงแล้ว
ตัวหลุมขุดจะเป็นอาคารกรุกระจกไว้โดยรอบ
ฟอสซิลที่พบเป็นส่วนของกระดูกสะโพกและท่อนหาง ของไดโนเสาร์ชนิดกินเนื้อ ที่พบที่นี่เป็นครั้งแรกของโลก ก็เลยได้รับการตั้งชื่อว่า สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส
ที่สำคัญคือเจ้าของฟอสซิลตัวนี้ จากการศึกษาก็เชื่อว่าจะเป็นต้นตระกูลของเจ้าทีเร็กซ์ หรือ ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากหนังเรื่องจูราสสิกพาร์ค แต่ว่าเจ้าตัวนี้จะมีขนาดเล็กกว่ากันราวครึ่งหนึ่ง
ดูแล้วเจ้าพวกกินเนื้อก็จะหน้าตาดุร้ายหน่อย ไม่ดูใจดีเหมือนพวกซอโรพอด
(หุ่นจำลองที่เห็น จะยืนโชว์ตัวกันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง)
ถ้าใครชอบเดินเทรลหรือเส้นทางในป่า สามารถให้รถมาส่งลงที่ทางเข้าหลุมขุดค้นที่ 9 นี้ จากที่นี่จะมีทางเดินเท้าแวะไปชมหลุมขุดค้นแห่งอื่น ๆ คือหลุมที่ 2 หลุมที่ 1 แล้วก็ไปสุดทางที่หลุมที่ 3 ส่วนรถสามารถย้อนไปจอดรอรับอยู่ที่หน้าที่ทำการอุทยานฯ ที่มีร้านค้าอย่างที่แนะนำไปก่อนหน้า
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินเที่ยวที่ทางอุทยานแนะนำไว้ เพราะเดินชมได้ครบและช่วงที่ชันคือช่วงลงมาที่หลุมขุดค้นที่ 3 ก็จะเป็นทางลง ทำให้ไม่เหนื่อยเกินไป ลงมาถึงก็มีร้านน้ำให้นั่งพักดื่มน้ำดื่มท่าอยู่พอดีอีกด้วย ระยะทางเดินก็ประมาณ 2.55 กม.
ส่วนถ้าไม่นิยมเดินมาก ก็ขับรถย้อนกลับมาแวะไปชมหลุมขุดค้นที่ 2 กับหลุมขุดค้นที่ 1 ที่เลยผ่านมาต่อ
ทางช่วงนี้จะมีบางช่วงเป็นทางชันสักนิด เพราะงั้นถนนก็อาจจะไม่ราบเรียบไปบ้าง แต่รถเก๋งก็ยังวิ่งผ่านกันมาได้สบาย ๆ
จอดรถแล้ว ก็ไปที่หลุมขุดอันต่อไปกัน
หลุมนี้ต้องออกแรงเดินขึ้นบันได 80 ขั้นกันหน่อย
แต่ระหว่างทางเดินก็มีป้ายให้ความรู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์ให้อ่านกันเพลิน ๆ
ที่หลุมขุดค้นที่ 2 ตรงนี้ สมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จพระพี่นางฯ ได้เคยเสด็จมาทอดพระเนตรฟอลซิสไดโนเสาร์ที่นี่ด้วย
ที่นี่จะพบเป็นกระดูกส่วนคอของไดโนเสาร์ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่
ถ้าที่หลุมนี้ดูแล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่อลังการเท่าไหร่ ให้รีบเดินต่อขึ้นไปหลุมขุดค้นที่ 1 ที่อยู่ถัดขึ้นไป
ที่หลุมขุดค้นที่ 1 นี้จะเห็นว่ามีฟอลซิสไดโนเสาร์อยู่หลายชิ้น แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ฟอลซิสไดโนเสาร์ถูกขุดพบที่นี่เป็นครั้งแรกของเมืองไทย
ชิ้นส่วนกระดูกที่พบที่นี่มีกระจัดกระจายอยู่หลายชิ้น เป็นของไดโนเสาร์ภูเวียง แล้วยังมีไดโนเสาร์กินเนื้ออีกชนิดที่ตัวขนาดเดียวกับไก่ ที่ชื่อว่า เทอโรพอด
ตรงนี้แสดงภาพถ่ายของฟอลซิสที่พบทีแรก กับบอกให้รู้ว่าชิ้นส่วนกระดูกที่พบเป็นส่วนไหนของไดโนเสาร์กันบ้าง
เดินมาเหนื่อย ๆ ถ้าอยากหาที่นั่งพัก เลยขึ้นไปจะมีศาลาให้นั่งพักผ่อน
แต่ถ้าอยากได้วิวสวย ๆ เดินเลยต่อไปอีกนิดจะมีศาลาอีกหลัง อยู่บนยอดสูงสุดที่เป็นจุดชมวิว
มุมหนึ่งบนศาลาชมวิว ลมเย็นสบายทีเดียว
ใครมีขนมน้ำท่าขึ้นมากินกัน ก็อย่าลืมเก็บขยะกลับไปทิ้งในตัวเมืองกันด้วย จะได้เป็นอีกแรงที่ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมในป่าที่เหลืออยู่แสนน้อยแล้ว
ทฤษฎีการสูญพันธุ์
ทฤษฎีการสูญพันธุ์
|
เหตุการณ์ การสูญพันธุ์
ตารางสรุปเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 5 ครั้งที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ให้การยอมรับ
ช่วงเวลาย้อนหลังโดยประมาณ | จำนวนสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์โดยประมาณ | ข้อสัณนิษฐานถึงสาเหตุ |
---|---|---|
429-439 ล้านปี | สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตซึ่งอาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป 25% คิดเป็น 60% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด | น้ำทะเลลดระดับลงจากการก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์ และต่อมาน้ำทะเลจึงเพิ่มระดับขึ้นกะทันหัน จากการละลายของก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ |
364 ล้านปี | สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำสูญพันธุ์ไป 22% คิดเป็น 57% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำทั้งหมด | ยังไม่มีสมมติฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ |
251 ล้านปี |
|
|
199-214 ล้านปี |
|
ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดครั้งใหญ่ที่บริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก ปลดปล่อยลาวาจำนวนมหาศาลออกมา และอาจทำให้เกิด ภาวะโลกร้อนขั้นวิกฤต โดยพบหลักฐานการระเบิดจากหินภูเขาไฟที่ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ทางตะวันออกของบราซิล และทางเหนือของแอฟริกาและสเปน |
65 ล้านปี |
|
ดาวเคราะห์น้อยขนาดความกว้างหลายไมล์พุ่งเข้าชนโลก ทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตชิกซูลูบ (Chicxulub Crater) ที่บริเวณคาบสมุทรยูคาทัน (Yucatan Peninsula) และใต้อ่าวเม็กซิโก |
ไดโนเสาร์สายพันธุ์มีปีก
นักวิจัยเมืองผู้ดี ศึกษาใหม่ พบหลักฐานบ่งชี้ไดโนเสาร์มีปีกไม่ได้บินโฉบจับปลาทะเลกินเป็นอาหารอย่างที่ คิด แต่กลับเดินตะคุ่มๆ ย่องเงียบ คอยจับเหยื่อบนบกกินเป็นอาหารเหมือนไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่น
วารสารพีแอลโอเอส วัน (Public Library of Science One: PLoS One) ตีพิมพ์ผลการศึกษาฟอสซิลสัตว์เลื้อยคลานบินได้ในยุคดึกดำบรรพ์ของทีมนัก วิจัยอังกฤษ ที่พบว่าสัตว์ดังกล่าวมิได้มีพฤติกรรมบินโฉบเหนือผิวน้ำ เพื่อจับปลาในทะเลกินเป็นอาหาร ทว่ากลับค่อยๆ เดินย่องตะครุบเหยื่อบนบกเหมือนไดโนเสาร์นักล่าตัวอื่นๆ
ข่าวจากไลฟ์ไซน์ด็อตคอมรายงานว่า เท อโรซอร์ (pterosaur ) หรือสัตว์เลื้อยคลานมีปีกในยุคโบราณ ที่ดำรงชีวิตอยู่บนโลกในช่วง 230-65 ล้านปีก่อน ไม่ได้ล่าเหยื่อโดยการบินโฉบอย่างที่คิด แต่พวกมันกลับค่อยๆ เดินย่องเงียบก่อนที่จะเขมือบเหยื่อผู้โชคร้ายต่างหาก
การ ค้นพบนี้ขัดกับแนวคิดก่อนหน้า ของนักบรรพชีวินที่มักจะเข้าใจว่าพวกเทอโรซอร์เป็นนักล่า ที่หาอาหารโดยการบินโฉบลงมาจับเหยื่อจำพวกปลา ที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำตามทะเลหรือทะเลสาบเช่นเดียวกับพฤติกรรมการหาอาหาร ของนกนางนวลในปัจจุบัน
“ตามทฤษฎีของพวกเรา การบินถือเป็นหลักการเคลื่อนที่ขั้นต้นเท่านั้น ที่พวกมันจะใช้วิธีนี้เพื่อเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง พวกเราคิดว่าการดำรงชีวิตหลักๆ ของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหารหรือการสืบพันธุ์ ย่อมกระทำเมื่ออยู่บนพื้นดิน มากกว่าขณะอยู่ในอากาศแน่นอน” คำชี้แจงของมาร์ค วิตตัน (Mark Witton) จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ (University of Portsmouth) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ศึกษาเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้วิ ตตันและทีมวิจัยได้ศึกษาพฤติกรรมการหาอาหารของพวกเทอโรซอร์ จากการวิเคราะห์ฟอสซิลของเทอโรซอร์กลุ่มที่ปราศจากฟัน หรือเรียกอีกอย่างว่า อัซห์ดาร์คิด (azhdarchid) ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานมีปีกขนาดใหญ่กว่าเทอโรซอร์ชนิดอื่นๆ โดยที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดหนักถึง 250 กิโลกรัม เมื่อกางปีกออกมีความกว้างราว 10 เมตร และลักษณะความสูงคล้ายกับยีราฟ
ข้อ มูลจากไทม์สออนไลน์รายงานว่า ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 70 และวิถีการดำรงชีวิตของพวกมัน ก็เป็นหัวข้อที่นักวิทยาศาสตร์นำมาโต้แย้งกันค่อนข้างมาก และชื่ออัซห์ดาร์คิดนี้มาจากภาษาอุซเบกิสถาน ซึ่งหมายถึงมังกร โดยในไซน์เดลียังระบุเพิ่มเติมว่าอัซห์ดาร์คิดนี้มีลักษณะคล้ายกับนกในยุค ปัจจุบันบางชนิด คือ นกเงือกและนกกระสา
วิตตันศึกษาตัวอย่างฟอสซิลของอัซห์ดาร์คิดที่พบในประเทศมากกว่า 50% และในเยอรมนีอีกบางส่วน ศึกษา ตั้งแต่โครงกระดูกส่วนต่างๆ ตลอดจนช่วงคอ และขาหลัง เปรียบเทียบกับนกในยุคปัจจุบันที่หาอาหารโดยการร่อนเหนือผิวน้ำแล้วจับปลาใน ทะเลกิน ซึ่งพบว่าไม่สอดคล้องกันเลย
“ข้อมูล ทางกายวิภาคประกอบกับสิ่งแวดล้อมบริเวณที่ค้นพบฟอสซิลอัซห์ดาร์คิดเหล่านี้ ก็บ่งชี้ว่าพวกมันดำรงชีวิตอยู่และหาอาหารโดยเดินไปเดินมาในบริเวณโดยรอบ ก้มหมอบให้ต่ำลง แล้วตะครุบจับเหยื่อในบริเวณนั้นกินเป็นอาหาร” คำอธิบายของดาร์เรน ไนช์ (Darren Naish) นักวิจัยในทีม
นัก วิจัยอธิบายเพิ่มเติมว่า สัตว์ที่จับปลาตามผิวน้ำกินเป็นอาหารอย่างเช่นนกนางนวลจะใช้จงอยปากล่างลาก ผ่านไปตามผิวน้ำจนกระทั่งกระทบถูกกับปลาหรือกุ้งแล้วจึงคาบขึ้นจากน้ำเพื่อ กินเป็นอาหาร ถ้าหากว่าจงอยปากของพวกมันไปกระทบหรือกระแทกถูกสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แรงกระแทกจากจงอยปากก็จะถูกส่งผ่านไปยังส่วนหัว ลำคอ และภายในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้มันตกลงไปในน้ำได้ ดังนั้นพวกมันจึงต้องมีลำคอที่มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันตัวเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว
ทั้งนกนางนวลและนกกระทุงก็มีลำคอที่มีคุณสมบัติเป็นดังว่า แต่ไม่ใช่กับลำคอของอัซฮ์ดาร์คิดที่ นักวิจัยศึกษา ซึ่งแม้จะมีความยาวของช่วงลำคอราว 3 เมตร ทว่าแข็งทื่อเป็นอย่างมาก แต่ลำคอที่ยาวขนาดนั้นน่าจะเอื้อให้อัซห์ดาร์คิดเสาะหาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก กว่าที่อยู่บนพื้นดินกินเป็นอาหารได้อย่างไม่ยาก แม้แต่ไดโนเสาร์ขนาดเล็กเท่ากบ
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ไดโนเสาร์มีปีกไม่ได้บินหาอาหารเหนือผิวน้ำ นักวิจัยชี้ว่าเพราะมีเท้าขนาดเล็กในขณะที่มีร่างกายขนาดใหญ่ จึงเป็นอุปสรรคต่อการลุยน้ำหรือย่ำในดินโคลนอ่อนนุ่มด้วยเท้าเล็กๆ ที่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวกว่า 1 ใน 4 ตัน.
สายพันธุ์ที่น่าสนใจ
คาร์โนซอร์ ::::: ซิตตะโกซอรัสสัตยารักษ์กี :::::
ซิทตะโคซอรัส :::::
ซีลูโรซอร์ :::::
ดิพโพลโดคัส :::::
เทอราโนดอน:::::
ไทรเซอราทอปส์ ::::
ไทแรนโนซอรัส :::::
บาริโอนิกซ์ :::::
โปรโตเซอราทอปส์ :::::
ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรนี :::: สไตราโคซอรัส
::::: สยามโมซอรัส สุธีธรนี ::::: อะแพททอซอรัส ::::: อัลโลซอรัส ::::: อาร์คีออฟเทอริกซ์ ::::: อิกัวโนดอน :::::
โครงสร้างกระดูกไดโนเสาร์
วิวัฒนาการของไดโนเสาร์
ไดโนเสาร์พวกแรกปรากฏขึ้นในโลกช่วงตอนปลายของยุคไทรแอสซิก เมื่อกว่า
225 ล้านปีก่อนเป็นเวลาที่ทวีปทั้งหลายยังต่อเป็นผืนเดียวกัน สัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มีชีวิตอยู่ และมีวิวัฒนาการตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 160 ล้านปี กระจัดกระจายแพร่หลายอยู่ทั่วไปในโลก และได้สูญพันธุ์ไปหมดในปลายยุค ครีเทเชียส หรือเมื่อ 65 ล้านปีที่ล่วงมาแล้ว ไดโนเสาร์ได้เจริญพันธุ์แพร่หลายเป็นเวลายาวนาน และตลอดช่วงเวลาอันยาวนานนี้ได้มีวิวัฒนาการออกเป็นวงศ์สกุลต่างๆ มากมาย เท่าที่ค้นพบ และจำแนกแล้วประมาณ 340 ชนิด และคาดว่ายังมีอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังรอการค้นพบอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่เป็นแหล่งหนึ่งซึ่งมีหินตะกอนที่สะสมตัวอยู่ในช่วงเวลาที่มีไดโนเสาร์เคย